ตอบ 2
เพราะ ปฏิกิริยาเคมี (chemical reaction) หมายถึง การเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดสารใหม่ มีสมบัติต่างจากสารเดิม สารก่อนการเปลี่ยนแปลงเรียกว่า สารตั้งต้น (reactant) และสารที่เกิดใหม่เรียกว่า ผลิตภัณฑ์ (product)
ในขณะที่เกิดปฏิกิริยาเคมี นอกจากได้สารใหม่แล้วยังอาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านอื่นๆ อีกได้ เช่น การเปลี่ยนแปลงพลังงาน
ตัวอย่างการเกิดปฏิกิริยาเคมีที่น่าสนใจเช่น
เมื่อนำลวดแมกนีเซียมใส่ลงในสารละลายกรดไฮโดรคลอริก เป็นปฏิกิริยาระหว่างโลหะ (แมกนีเซียม) กับกรด (กรดไฮโดรคลอริก) สารทั้งสองจะทำปฏิกิริยากัน เกิดการเปลี่ยนแปลงได้สารใหม่เกิดขึ้นดังสมการ
ตอบ 4
เพราะ
ตอบ 4
ตอบ 4เพราะ
การที่เราจะทำงานในกิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงานในภาคเกษตรกรรม หรือภาคอุตสาหกรรมที่จะต้องสัมผัสกับสภาวะอันตราย ซึ่งเราสามารถป้องกัน และทุเลาอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นนั้นได้ หากเราได้หันมาทำความเข้าใจถึงอันตรายนั้น ๆ เสียก่อน โดยการเรียนรู้ถึงอันตรายต่าง ๆ ด้วยการจัดแบ่งอันตรายออกเป็น 5 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้ คือ
1. ด้านฟิสิกส์ เป็นงานที่เกี่ยวข้องกับ ความดังของเสียงที่ดังเกินไปจากความดังเสียง, ความสั่นสะเทือน, อุณหภูมิ หรือรังสีของการสัมผัสเกินขนาด เหล่านี้เป็นต้น ที่จะสามารถทำให้ผู้ปฏิบัติงานเกิดความเครียด และจะมีผลทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
2. ด้านเคมี ในปัจจุบันกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมต่าง ๆ มีการใช้สารเคมีกันมากขึ้น ดังนั้นการใช้งานทางด้านสารเคมี จึงมีความจำเป็นจะต้องมีระบบการระบายอากาศที่ดี หรือตัวผู้ปฎิบัติงานจะต้องใช้อุปกรณ์ในการป้องกันอันตรายส่วนบุคคล (Personal Protective Device = PPD) เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับงานทางด้านสารเคมีแต่ละชนิด
3. ด้านชีววิทยา เป็นงานที่จะต้องเกี่ยวข้องกับอินทรีย์ อันเนื่องมาจาก สัตว์, รา, เชื้อโรค และฝุ่นจากพืช กับการได้รับสิ่งเหล่านี้อยู่เป็นประจำ จึงทำให้เกิดโรคและเป็นอันตรายต่อร่างกายของมนุษย์ขึ้นได้
4. ด้านเออร์โกโนมิกส์ เป็นเรื่องของการประยุกต์เอาศาสตร์ทางด้านสรีระของมนุษย์เข้ากับด้านวิศวกรรมศาสตร์ เพื่อให้ผู้ปฏิบัติงานได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด (สำหรับข้อ 1-4 จะไม่ขอกล่าวถึงโดยละเอียด ... ในที่นี้)
5. ด้านความปลอดภัยในการทำงานภายในโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งโดยใหญ่แล้วจะเกี่ยวข้องกับ เครื่องจักรกลต่าง ๆ อย่างเช่น ถังบรรจุก๊าซ, ถังมีความดันไฟฟ้า, ห้องเย็น, โรงน้ำแข็ง และแม้กระทั่ง หม้อไอน้ำ หรือหม้อต้ม ฯ เหล่านี้เป็นต้น
ตอบ 1เพราะ 1. โลหะ (metal) เป็นกลุ่มธาตุที่มีสมบัติเป็นตัวนำไฟฟ้าได้ นำความร้อนที่ดี เหนียว มีจุดเดือดสูง ปกติเป็นของแข็งที่อุณหภูมิห้อง (ยกเว้น ปรอท) เช่น แคลเซียม อะลูมิเนียม เหล็ก เป็นต้น
2. อโลหะ (non-metal) เป็นกลุ่มธาตุที่มีสมบัติไม่นำไฟฟ้า มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ เปราะบาง และมีการแปรผันทางด้านคุณสมบัติทางกายภาพมากกว่าโลหะ เช่น ออกซิเจน กำมะถัน ฟอสฟอรัส เป็นต้น
ตารางที่ 2 แสดงสมบัติบางประการของโลหะกับอโลหะ
สมบัติ | โลหะ | อโลหะ |
1. สถานะ | เป็นของแข็งในสภาวะปกติ ยกเว้นปรอทซึ่งเป็นของเหลว ไม่มีโลหะที่เป็นก๊าซในภาวะปกติ | มีอยู่ได้ทั้ง 3 สถานะ ธาตุที่เป็นก๊าซในภาวะปกติจะเป็นอโลหะทั้งสิ้น อโลหะที่เป็นของเหลว คือ โบรมีน ของแข็ง ได้แก่ คาร์บอน กำมะถัน ฟอสฟอรัส เป็นต้น |
2. ความมันวาว | มีวาวโลหะ ขัดขึ้นเงาได้ | ส่วนมากไม่มีวาวโลหะ ยกเว้น แกรไฟต์ (ผลึกคาร์บอน) เกล็ดไอโอดีน (ผลึกไอโอดีน) |
3. การนำไฟฟ้าและน้ำความร้อน | นำไฟฟ้าและนำความร้อนได้ดี เช่น สายไฟฟ้ามักทำด้วยทองแดง | นำไฟฟ้าและนำความร้อนไม่ได้ยกเว้นแกรไฟต์ นำไฟฟ้าได้ดี |
4. ความเหนียว | ส่วนมากเหนียว ดึงยืดเป็นเส้นลวด หรือตีเป็นแผ่นบ่างๆ ได้ | อโลหะที่เป็นของแข็ง มีเปราะดึงยืดออกเป็นเส้นลวดหรือตีเป็นแผ่นบางๆ ไม่ได้ |
5. ความหนาแน่น หรือความถ่วงจำเพาะ | ส่วนมากมีความหนาแน่นสูง | มีความหนาแน่นต่ำ |
6. จุดเดือนและจุดหลอดเหลว | ส่วนมากสูง เช่น เหล็ก มีจุดหลอดเหลว 1,536 oC จุดเดือด 3,000 oC | ส่วนมากต่ำโดยเฉพาะพวกอโลหะที่เป็นก๊าซ |
7. การเกิดเสียงเมื่อเคาะ | มีเสียงดังกังวาน | ไม่มีเสียงดังกังวาน |
8. เกี่ยวกับอิเล็กตรอนและประจุไอออน | เป็นพวกชอบให้อิเล็กตรอน ทำให้เกิดเป็นไอออนบวก | เป็นพวกชอบรับอิเล็กตรอน ทำให้เกิดเป็นไอออนลบ |
9. สารประกอบออกไซด์ | โลหะออกไซด์เป็นเบส | อโลหะออกไซด์เป็นกรด |
3. กึ่งโลหะ (metalloid) เป็นกลุ่มธาตุที่มีสมบัติก้ำกึ่งระหว่างโลหะและอโลหะ เช่น ธาตุซิลิคอน และเจอเมเนียม มีสมบัติบางประการคล้ายโลหะ เช่น นำไฟฟ้าได้บ้างที่อุณหภูมิปกติ และนำไฟฟ้าได้มากขึ้นเมื่ออุณหภูมิเพิ่มขึ้น เป็นของแข็ง เป็นมันวาวสีเงิน จุดเดือดสูง แต่เปราะแตกง่ายคล้ายอโลหะ
เพราะ